1. Agentic AI (เอเย่นต์ AI)
เทรนด์แรกคือ Agentic AI – คือระบบ AI ที่ไม่เพียงแค่ตอบคำถามหรือสร้างเนื้อหาแบบ generative ทั่วไป แต่สามารถ “ ย่อลิงค์ ” ดำเนินการ ตัดสินใจ และ กระทำ ตามเป้าหมายนั้นได้โดยอัตโนมัติ
ทำไมถึงสำคัญ:
-
เมื่อองค์กรเริ่มใช้ AI เพื่อช่วยงาน อาจจะก้าวไปถึงการใช้ AI ที่ทำหน้าที่แทนมนุษย์ในบาง workflow ได้ เช่น เอเย่นต์ช่วยจัดการเรื่องลูกค้า, ประเมินความเสี่ยง, ตอบสนองเหตุการณ์แบบเรียลไทม์
-
Gartner ชี้ว่าโดยปี 2028 อาจมีอย่างน้อย 15 % ของการตัดสินใจในธุรกิจจะมาจากเอเย่นต์ AI
สิ่งที่ควรเตรียมเอง: -
ปรับโครงสร้างข้อมูลและสถาปัตยกรรม data ให้รองรับระบบที่เอเย่นต์ AI จะใช้งาน
-
ตั้ง governance, guardrails ไม่ให้เอเย่นต์ AI ทำงานผิดพลาดหรือหายนะ
-
เริ่มทดลอง proof-of-concept ใช้ AI แบบเอเย่นต์ในขอบเขต เล็ก ก่อนขยาย
โอกาส & ความท้าทาย: -
โอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ใช้งานได้เร็ว
-
ความท้าทาย: โครงการหลุมดำ (over-hyped) – Reuters รายงานว่า > 40 % ของโครงการเอเย่นต์ AI อาจถูกยกเลิกภายในปี 2027 Reuters
ตัวอย่าง: -
ระบบเอเย่นต์ช่วยสั่งงานระบบคลังสินค้าแบบอัตโนมัติ
-
เอเย่นต์ในแชทบอทที่ไม่แค่ตอบได้ แต่สั่งงาน workflow ต่อเนื่อง
2. Post-Quantum Cryptography (การเข้ารหัสหลังยุคควันตัม)
เทรนด์ที่สองคือ Post-Quantum Cryptography (PQC) หมายถึงวิธีการเข้ารหัสข้อมูลที่ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับ คอมพิวเตอร์ควอนตัม ซึ่งมีศักยภาพแตกต่างจากคอมพิวเตอร์ทั่วไปอย่างมาก
ทำไมถึงสำคัญ:
-
เมื่อเทคโนโลยีควอนตัมพัฒนาไปเรื่อย ๆ ระบบเข้ารหัสทั่วไป (เช่น RSA, ECC) อาจโดนโจมตีหรือถูกถอดรหัสได้ง่ายขึ้น
-
องค์กรที่จัดเก็บข้อมูลสำคัญจะต้องเริ่มวางแผนเพื่อ “ปรับสภาพ” ให้พร้อมก่อนที่จะสายเกินไป
สิ่งที่ควรเตรียมเอง: -
ทบทวนระบบเข้ารหัสที่ใช้งานอยู่: ตรวจสอบว่าใช้คู่คีย์แบบใด เหมาะสมหรือไม่
-
วางแผน roadmap สำหรับเปลี่ยนไปใช้ PQC หรือ hybrid-scheme ที่ผสม PQC กับ classical copyright
-
ติดตามมาตรฐาน (เช่น NIST มาตรการ PQC) และเลือกผู้ให้บริการที่รองรับ
โอกาส & ความท้าทาย: -
โอกาส: การเป็นผู้นำด้านความปลอดภัยข้อมูลในยุคใหม่
-
ความท้าทาย: เทคโนโลยียังอยู่ระยะเริ่มต้น มาตรฐานยังอาจเปลี่ยนแปลง มีต้นทุนในการปรับ
ตัวอย่าง: -
องค์กรด้านการเงินหรือรัฐบาลที่ต้องเก็บข้อมูลไว้หลาย สิบ ปี จำเป็นต้องเริ่มใช้ PQC เพื่อ “เก็บรักษาความลับ”
-
ผู้ให้บริการคลาวด์ที่เริ่มให้บริการเข้ารหัสแบบ PQC สำหรับลูกค้า
3. Spatial Computing (คำนวณเชิงพื้นที่)
เทรนด์ที่สามคือ Spatial Computing – การผสานระหว่าง AR/VR, 3D โลกเสมือน, การติดตามตำแหน่งและการโต้ตอบแบบ immersive กับผู้ใช้ในพื้นที่จริงหรือเสมือน
ทำไมถึงสำคัญ:
-
เพิ่มช่องทางใหม่ในการ interact กับข้อมูล เช่น การนำเสนองาน 3D ในสถานที่จริง, การทำงานร่วมกันแบบ mixed reality
-
ใช้งานได้ในหลายอุตสาหกรรม: ภาคการผลิต, สุขภาพ, การค้าปลีก, การฝึกอบรม
สิ่งที่ควรเตรียมเอง: -
พิจารณา user experience ใหม่: เมื่อผู้ใช้สามารถโต้ตอบในพื้นที่จริง +เสมือน อยากให้เกิดอะไรขึ้น
-
ประเมินฮาร์ดแวร์ที่อาจต้องใช้: headsets, sensors, ติดตามตำแหน่ง
-
ทดสอบสภาพแวดล้อมที่ mixed/augmented เพื่อดูว่า business use case ใดเหมาะก่อน
โอกาส & ความท้าทาย: -
โอกาส: เพิ่มประสิทธิภาพการฝึกอบรม ลดเวลา, เพิ่มประสบการณ์ลูกค้าใหม่
-
ความท้าทาย: ต้นทุนฮาร์ดแวร์, ความสะดวกในการใช้งาน, การยอมรับของผู้ใช้
ตัวอย่าง: -
องค์กรที่ใช้ AR เพื่อให้ช่างซ่อมบำรุงเห็นข้อมูลชิ้นส่วนผ่านแว่น AR ในภาคสนาม
-
ร้านค้าปลีกใช้ mixed reality เพื่อให้ลูกค้าทดลองสินค้าผ่าน holo-space
4. AI Governance Platforms (แพลตฟอร์มกำกับดูแล AI)
เทรนด์ถัดไปคือ AI Governance Platforms – เครื่องมือและระบบที่ช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการ AI ได้อย่างน่าเชื่อถือ ครอบคลุมจริยธรรม ความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย และจัดการความเสี่ยง
ทำไมถึงสำคัญ:
-
เมื่อใช้ AI มากขึ้น ความเสี่ยงด้าน bias, การละเมิดข้อมูล, ความไม่โปร่งใส เพิ่มขึ้น
-
กฎระเบียบด้าน AI และความเป็นส่วนตัว จะเข้มงวดมากขึ้น องค์กรต้องพร้อม
สิ่งที่ควรเตรียมเอง: -
กำหนด framework ด้าน AI governance: who ควรรับผิดชอบ, what ควรตรวจสอบ
-
เลือกหรือพัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถ audit model AI, monitor การทำงาน, log ข้อมูล
-
ทำให้ทีม IT และ business เข้าใจความเสี่ยง AI ร่วมกัน
โอกาส & ความท้าทาย: -
โอกาส: ช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า/ผู้ใช้ และลดความเสี่ยงด้าน regulation
-
ความท้าทาย: อาจต้องลงทุนระบบใหม่, ปรับ process, ร้อยเรียง AI กับ governance ได้ยาก
ตัวอย่าง: -
แพลตฟอร์มที่ตรวจสอบว่า AI ไม่เลือกปฏิบัติ (discrimination) หรือไม่
-
ระบบที่ตรวจสอบว่า AI ใช้ข้อมูลที่มีสิทธิ์ถูกต้องหรือไม่
5. Ambient Invisible Intelligence (สติปัญญาแวดล้อมที่มองไม่เห็น)
เทรนด์นี้คือ Ambient Invisible Intelligence – การนำเซนเซอร์, AI, การประมวลผลที่ฝังอยู่ ในสิ่งแวดล้อม รอบ ตัว เรา แบบ “มองไม่เห็น” แต่ทำงานอยู่เบื้องหลัง
ทำไมถึงสำคัญ:
-
โลกเริ่มเข้าสู่ยุค “อุปกรณ์อัจฉริยะ” มากขึ้น sensor ราคาถูกลง เชื่อมต่อได้ง่าย
-
ผู้ใช้จะพบกับประสบการณ์ smart มากขึ้น เช่น บ้านที่รู้ใจ, ที่ทำงานที่ปรับตัวได้
สิ่งที่ควรเตรียมเอง: -
พิจารณาว่า business ของคุณสามารถใช้ ambient intelligence ได้อย่างไร เช่น พื้นที่สำนักงานที่ปรับแสง/อุณหภูมิอัตโนมัติ
-
ให้ความสำคัญเรื่อง privacy – เซนเซอร์ใน environment อาจเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยไม่รู้ตัว
-
ทำ pilot ในพื้นที่จำกัดก่อนขยาย
โอกาส & ความท้าทาย: -
โอกาส: สร้าง UX ใหม่ ปรับตัวได้ แบบ context-aware
-
ความท้าทาย: ความเป็นส่วนตัว, ความปลอดภัยข้อมูล, แรงต่อต้านจากผู้ใช้
ตัวอย่าง: -
ระบบ smart office ที่ตรวจจับผู้เข้าร่วมประชุมแล้วตั้งค่า lighting และ audio ตามจำนวนคน
-
ห้างสรรพสินค้าที่ใช้เซนเซอร์วิเคราะห์ flow ลูกค้าแล้วปรับ signage หรือโปรโมชั่นทันที
6. Polyfunctional Robots (หุ่นยนต์มัลติฟังก์ชัน)
เทรนด์ที่ 6 คือ Polyfunctional Robots – หุ่นยนต์ที่ไม่ได้ทำงานแบบเฉพาะทางเดียว แต่ทำงานแบบหลายหน้าที่ (multifunctional) และสามารถปรับตัวได้หลายรูปแบบ
ทำไมถึงสำคัญ:
-
เมื่อค่าแรงสูงขึ้น และความต้องการ automation เพิ่ม หุ่นยนต์ที่ทำได้หลายงานจะมีค่าเพิ่ม
-
สามารถรวม robotics กับ AI, sensing, edge เพื่อให้ทำงานในสภาพแวดล้อมจริงได้
สิ่งที่ควรเตรียมเอง: -
สำรวจว่า process ใดในองค์กรสามารถใช้หุ่นยนต์ polyfunctional ได้ เช่น คลังสินค้า, โลจิสติกส์, บริการลูกค้า
-
ตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า, เครือข่าย, พื้นที่ robotics ในสถานที่
-
ประเมิน ROI และ change management เมื่อมีหุ่นยนต์เข้าไป
โอกาส & ความท้าทาย: -
โอกาส: ลดต้นทุนแรงงาน, เพิ่มความยืดหยุ่น
-
ความท้าทาย: ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูง, ต้องการ maintenance, safety และ integration กับ ระบบเดิม
ตัวอย่าง: -
หุ่นยนต์ที่สามารถแพ็กสินค้าระบบเดียว แล้วเปลี่ยนไปช่วยงานบริการลูกค้าในอีกช่วงเวลา
-
หุ่นยนต์บริการในโรงแรมที่สามารถเช็คอินแขก แล้วไปส่งของใช้ที่ห้อง
7. Disinformation Security (ความปลอดภัยด้านข้อมูลเท็จ)
เทรนด์ที่ 7 คือ Disinformation Security – ความปลอดภัยไม่ใช่แค่การปกป้องข้อมูลที่ถูกต้อง เท่านั้น แต่ ต้องป้องกันข้อมูลเท็จ, การปลอมแปลง, การแอบอ้างบุคคล (social engineering) ในยุคที่ AI สามารถสร้างเนื้อหาได้ง่าย
ทำไมถึงสำคัญ:
-
เมื่อ AI สามารถสร้างภาพเสียงวิดีโอปลอมได้ (deepfake) หรือเผยแพร่ misinformation ได้ง่าย ความน่าเชื่อถือขององค์กรจะตกอยู่ในความเสี่ยง
-
การ reputation ของแบรนด์ และ trust จากลูกค้าจะเป็น asset สำคัญ
สิ่งที่ควรเตรียมเอง: -
วาง framework สำหรับตรวจจับ disinformation ที่เกี่ยวข้องกับองค์กร
-
ใช้เครื่องมือ เทคโนโลยี เช่น AI สำหรับ deepfake detection, metadata analysis
-
ฝึกอบรมพนักงานให้เข้าใจ risks และ response plan
โอกาส & ความท้าทาย: -
โอกาส: เป็นผู้นำด้านความเชื่อมั่นในตลาด
-
ความท้าทาย: เทคนิคของผู้ไม่หวังดีพัฒนาเร็ว, ต้องอัพเดตเครื่องมือเรื่อย ๆ
ตัวอย่าง: -
บริษัทด้านสื่อที่ใช้ AI เพื่อตรวจสอบว่าข่าวหรือภาพถูกดัดแปลงหรือไม่
-
แบรนด์ที่มี protocol รับมือเมื่อมีการปลอมแปลงภาพ/เสียงของ CEO เผยแพร่ในโซเชียล มีเดีย
8. Energy-Efficient Computing (การประมวลผลที่ประหยัดพลังงาน)
เทรนด์ที่ 8 คือ Energy-Efficient Computing – ระบบคอมพิวเตอร์/เซิร์ฟเวอร์/คลาวด์ที่ออกแบบให้ใช้พลังงานน้อยลง ลด carbon footprint และเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม
ทำไมถึงสำคัญ:
-
ภาค IT และดาต้าเซ็นเตอร์เป็นผู้ใช้พลังงานจำนวนมาก การลด energy ถือเป็นหนทางสู่ความยั่งยืน (sustainability)
-
กฎระเบียบด้าน environmental, social & governance (ESG) กำลังเข้มงวดมากขึ้น
สิ่งที่ควรเตรียมเอง: -
ตรวจสอบ data center / cloud provider ที่องค์กรใช้ว่า มี energy-efficient หรือไม่
-
พิจารณาใช้ hardware ใหม่ที่ใช้พลังงานต่ำ เช่น ARM, custom ASICs, หรือ liquid-cooling
-
ตั้ง metrics ด้าน energy และ carbon ในแผน IT ขององค์กร
โอกาส & ความท้าทาย: -
โอกาส: ลดค่าไฟ, สร้างภาพลักษณ์องค์กรที่ green
-
ความท้าทาย: ต้นทุน CapEx อาจสูงเริ่มต้น, ROI อาจไม่ได้เห็นเร็ว
ตัวอย่าง: -
ดาต้าเซ็นเตอร์ที่เปลี่ยนเป็นพลังงาน renewable และใช้ระบบ cooling แบบใหม่
-
องค์กรที่ปรับ server ให้ sleep หรือ scale down เมื่อโหลดต่ำ
9. Neurological Enhancement (การเสริมศักยภาพทางระบบประสาท)
เทรนด์ที่ 9 คือ Neurological Enhancement – การใช้ technologies ที่เชื่อมโยงกับระบบประสาทมนุษย์ (brain-computer interfaces, neurotech) เพื่อเพิ่มสมรรถภาพด้านความคิด, การเรียนรู้, หรือ การโต้ตอบกับเครื่องจักร
ทำไมถึงสำคัญ:
-
เทคโนโลยี neurotech กำลังเริ่มเข้าถึงผู้ใช้มากขึ้น เช่น wearables ที่วัดสภาวะสมอง, bio-feedback, brain-machine interface
-
องค์กรอาจใช้เพื่อ enhance ประสิทธิภาพพนักงาน, ลด error, หรือสร้างประสบการณ์ ใหม่ให้ผู้ใช้
สิ่งที่ควรเตรียมเอง: -
สำรวจว่าองค์กรของคุณอยู่ในอุตสาหกรรมที่ neurotech อาจมีบทบาทได้ เช่น สุขภาพ, สวัสดิการพนักงาน, การศึกษา
-
ติดตามประเด็นด้าน ethics, privacy, bio-safety สำหรับการใช้ neurotech
-
ทดลองใช้ใน pilot ขนาดเล็กก่อน เช่น wearable วัดสภาวะสมองสำหรับ crew หรือ ผู้ปฏิบัติงานที่ต้องมี focus สูง
โอกาส & ความท้าทาย: -
โอกาส: สร้างความได้เปรียบด้าน talent, ความคิดสร้างสรรค์, well-being
-
ความท้าทาย: ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น, มีประเด็นด้าน privacy, ความปลอดภัยทางชีวภาพ, ต้นทุนสูง
ตัวอย่าง: -
บริษัทที่ให้พนักงาน wearable ช่วยบันทึกสภาวะสมองขณะทำงานที่ต้องอยู่ใน focus สูง เช่น control room
-
อุปกรณ์ BCI ที่ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมเครื่องจักรด้วยความคิด (ในงานวิจัย/อุตสาหกรรมเฉพาะ)
10. Hybrid Computing (การประมวลผลแบบผสม)
สุดท้ายคือ Hybrid Computing – การรวมกันของหลายแบบการประมวลผล เช่น คลาวด์/เอดจ์/คอมพิวเตอร์ควอนตัม/ฮาร์ดแวร์เฉพาะ (ASICs) เพื่อรองรับ workload ที่หลากหลาย
ทำไมถึงสำคัญ:
-
องค์กรไม่สามารถพึ่งพาแค่ คลาวด์ หรือ data center แบบเดิมได้อย่างเดียว – workload บางอย่างต้องอยู่ใกล้ผู้ใช้, บางอย่างต้องประมวลผลหนักมาก, บางอย่างต้องรัน ใน edge
-
การผสมผสานทำให้มีความยืดหยุ่น สูงขึ้น และรองรับ innovation เร็วขึ้น
สิ่งที่ควรเตรียมเอง: -
วิเคราะห์ workload ขององค์กร: ว่าอะไรควรอยู่ cloud, edge, inside premises, หรือ hybrid
-
วางสถาปัตยกรรม ที่รองรับ multi-platform: เช่น cloud + edge + on-premises
-
เลือกผู้ให้บริการ cloud/edge ที่มี ecosystem รองรับ และเตรียมทีม IT ให้พร้อมบริหารแบบ hybrid
โอกาส & ความท้าทาย: -
โอกาส: ประสิทธิภาพสูง, ลด latency, ประหยัดพลังงาน
-
ความท้าทาย: การบริหาร complexity สูงขึ้น, ต้องจัดการเรื่อง security, governance, data สภาพแวดล้อมหลายแห่ง
ตัวอย่าง: -
บริษัทที่มี IoT อุปกรณ์ edge ที่เก็บข้อมูลและประมวลผลเบื้องต้น แล้วส่งผลลัพธ์ขึ้น cloud เพื่อวิเคราะห์รวม
-
ระบบที่ใช้ AI บน edge สำหรับ real-time decision แล้วส่งผลลัพธ์ไป cloud เพื่อ deep analytics