อนาคตเริ่มต้นที่นี่: 10 เทรนด์เทคโนโลยีพลิกโลกปี 2025

1. Agentic AI (เอเย่นต์ AI)

เทรนด์แรกคือ Agentic AI – คือระบบ AI ที่ไม่เพียงแค่ตอบคำถามหรือสร้างเนื้อหาแบบ generative ทั่วไป แต่สามารถ “ ย่อลิงค์ ” ดำเนินการ ตัดสินใจ และ กระทำ ตามเป้าหมายนั้นได้­­โดยอัตโนมัติ
ทำไมถึงสำคัญ:

  • เมื่อองค์กรเริ่มใช้ AI เพื่อช่วยงาน อาจจะก้าวไปถึงการใช้ AI ที่ทำหน้าที่แทนมนุษย์ในบาง workflow ได้ เช่น เอเย่นต์ช่วยจัดการเรื่องลูกค้า, ประเมินความเสี่ยง, ตอบสนองเหตุการณ์แบบเรียลไทม์

  • Gartner ชี้ว่าโดยปี 2028 อาจมีอย่างน้อย 15 % ของการตัดสินใจในธุรกิจจะมาจากเอเย่นต์ AI 
    สิ่งที่ควรเตรียมเอง:

  • ปรับโครงสร้างข้อมูลและสถาปัตยกรรม data ให้รองรับระบบที่เอเย่นต์ AI จะใช้งาน

  • ตั้ง governance, guardrails ไม่ให้เอเย่นต์ AI ทำงานผิดพลาดหรือหายนะ

  • เริ่มทดลอง proof-of-concept ใช้ AI แบบเอเย่นต์ในขอบเขต เล็ก ก่อนขยาย
    โอกาส & ความท้าทาย:

  • โอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ใช้งานได้เร็ว

  • ความท้าทาย: โครงการหลุมดำ (over-hyped) – Reuters รายงานว่า > 40 % ของโครงการเอเย่นต์ AI อาจถูกยกเลิกภายในปี 2027 Reuters
    ตัวอย่าง:

  • ระบบเอเย่นต์ช่วยสั่งงานระบบคลังสินค้าแบบอัตโนมัติ

  • เอเย่นต์ในแชทบอทที่ไม่แค่ตอบได้ แต่สั่งงาน workflow ต่อเนื่อง


2. Post-Quantum Cryptography (การเข้ารหัสหลังยุคควันตัม)

เทรนด์ที่สองคือ Post-Quantum Cryptography (PQC) หมายถึงวิธีการเข้ารหัสข้อมูลที่ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือกับ คอมพิวเตอร์ควอนตัม ซึ่งมีศักยภาพแตกต่างจากคอมพิวเตอร์ทั่วไปอย่างมาก
ทำไมถึงสำคัญ:

  • เมื่อเทคโนโลยีควอนตัมพัฒนาไปเรื่อย ๆ ระบบเข้ารหัสทั่วไป (เช่น RSA, ECC) อาจโดนโจมตีหรือถูกถอดรหัสได้ง่ายขึ้น

  • องค์กรที่จัดเก็บข้อมูลสำคัญจะต้องเริ่มวางแผนเพื่อ “ปรับสภาพ” ให้พร้อมก่อนที่จะสายเกินไป
    สิ่งที่ควรเตรียมเอง:

  • ทบทวนระบบเข้ารหัสที่ใช้งานอยู่: ตรวจสอบว่าใช้คู่คีย์แบบใด เหมาะสมหรือไม่

  • วางแผน roadmap สำหรับเปลี่ยนไปใช้ PQC หรือ hybrid-scheme ที่ผสม PQC กับ classical copyright

  • ติดตามมาตรฐาน (เช่น NIST มาตรการ PQC) และเลือกผู้ให้บริการที่รองรับ
    โอกาส & ความท้าทาย:

  • โอกาส: การเป็นผู้นำด้านความปลอดภัยข้อมูลในยุคใหม่

  • ความท้าทาย: เทคโนโลยียังอยู่ระยะเริ่มต้น มาตรฐานยังอาจเปลี่ยนแปลง มีต้นทุนในการปรับ
    ตัวอย่าง:

  • องค์กรด้านการเงินหรือรัฐบาลที่ต้องเก็บข้อมูลไว้หลาย สิบ ปี จำเป็นต้องเริ่มใช้ PQC เพื่อ “เก็บรักษาความลับ”

  • ผู้ให้บริการคลาวด์ที่เริ่มให้บริการเข้ารหัสแบบ PQC สำหรับลูกค้า


3. Spatial Computing (คำนวณเชิงพื้นที่)

เทรนด์ที่สามคือ Spatial Computing – การผสานระหว่าง AR/VR, 3D โลกเสมือน, การติดตามตำแหน่งและการโต้ตอบแบบ immersive กับผู้ใช้ในพื้นที่จริงหรือเสมือน 
ทำไมถึงสำคัญ:

  • เพิ่มช่องทางใหม่ในการ interact กับข้อมูล เช่น การนำเสนองาน 3D ในสถานที่จริง, การทำงานร่วมกันแบบ mixed reality

  • ใช้งานได้ในหลายอุตสาหกรรม: ภาคการผลิต, สุขภาพ, การค้าปลีก, การฝึกอบรม
    สิ่งที่ควรเตรียมเอง:

  • พิจารณา user experience ใหม่: เมื่อผู้ใช้สามารถโต้ตอบในพื้นที่จริง +เสมือน อยากให้เกิดอะไรขึ้น

  • ประเมินฮาร์ดแวร์ที่อาจต้องใช้: headsets, sensors, ติดตามตำแหน่ง

  • ทดสอบสภาพแวดล้อมที่ mixed/augmented เพื่อดูว่า business use case ใดเหมาะก่อน
    โอกาส & ความท้าทาย:

  • โอกาส: เพิ่มประสิทธิภาพการฝึกอบรม ลดเวลา, เพิ่มประสบการณ์ลูกค้าใหม่

  • ความท้าทาย: ต้นทุนฮาร์ดแวร์, ความสะดวกในการใช้งาน, การยอมรับของผู้ใช้
    ตัวอย่าง:

  • องค์กรที่ใช้ AR เพื่อให้ช่างซ่อมบำรุงเห็นข้อมูลชิ้นส่วนผ่านแว่น AR ในภาคสนาม

  • ร้านค้าปลีกใช้ mixed reality เพื่อให้ลูกค้าทดลองสินค้าผ่าน holo-space


4. AI Governance Platforms (แพลตฟอร์มกำกับดูแล AI)

เทรนด์ถัดไปคือ AI Governance Platforms – เครื่องมือและระบบที่ช่วยให้องค์กรสามารถบริหารจัดการ AI ได้อย่างน่าเชื่อถือ ครอบคลุมจริยธรรม ความเป็นส่วนตัว ความปลอดภัย และจัดการความเสี่ยง
ทำไมถึงสำคัญ:

  • เมื่อใช้ AI มากขึ้น ความเสี่ยงด้าน bias, การละเมิดข้อมูล, ความไม่โปร่งใส เพิ่มขึ้น

  • กฎระเบียบด้าน AI และความเป็นส่วนตัว จะเข้มงวดมากขึ้น องค์กรต้องพร้อม
    สิ่งที่ควรเตรียมเอง:

  • กำหนด framework ด้าน AI governance: who ควรรับผิดชอบ, what ควรตรวจสอบ

  • เลือกหรือพัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถ audit model AI, monitor การทำงาน, log ข้อมูล

  • ทำให้ทีม IT และ business เข้าใจความเสี่ยง AI ร่วมกัน
    โอกาส & ความท้าทาย:

  • โอกาส: ช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับลูกค้า/ผู้ใช้ และลดความเสี่ยงด้าน regulation

  • ความท้าทาย: อาจต้องลงทุนระบบใหม่, ปรับ process, ร้อยเรียง AI กับ governance ได้ยาก
    ตัวอย่าง:

  • แพลตฟอร์มที่ตรวจสอบว่า AI ไม่เลือกปฏิบัติ (discrimination) หรือไม่

  • ระบบที่ตรวจสอบว่า AI ใช้ข้อมูลที่มีสิทธิ์ถูกต้องหรือไม่


5. Ambient Invisible Intelligence (สติปัญญาแวดล้อมที่มองไม่เห็น)

เทรนด์นี้คือ Ambient Invisible Intelligence – การนำเซนเซอร์, AI, การประมวลผลที่ฝังอยู่ ในสิ่งแวดล้อม รอบ ตัว เรา แบบ “มองไม่เห็น” แต่ทำงานอยู่เบื้องหลัง 
ทำไมถึงสำคัญ:

  • โลกเริ่มเข้าสู่ยุค “อุปกรณ์อัจฉริยะ” มากขึ้น sensor ราคาถูกลง เชื่อมต่อได้ง่าย

  • ผู้ใช้จะพบกับประสบการณ์ smart มากขึ้น เช่น บ้านที่รู้ใจ, ที่ทำงานที่ปรับตัวได้
    สิ่งที่ควรเตรียมเอง:

  • พิจารณาว่า business ของคุณสามารถใช้ ambient intelligence ได้อย่างไร เช่น พื้นที่สำนักงานที่ปรับแสง/อุณหภูมิอัตโนมัติ

  • ให้ความสำคัญเรื่อง privacy – เซนเซอร์ใน environment อาจเก็บข้อมูลผู้ใช้โดยไม่รู้ตัว

  • ทำ pilot ในพื้นที่จำกัดก่อนขยาย
    โอกาส & ความท้าทาย:

  • โอกาส: สร้าง UX ใหม่ ปรับตัวได้ แบบ context-aware

  • ความท้าทาย: ความเป็นส่วนตัว, ความปลอดภัยข้อมูล, แรงต่อต้านจากผู้ใช้
    ตัวอย่าง:

  • ระบบ smart office ที่ตรวจจับผู้เข้าร่วมประชุมแล้วตั้งค่า lighting และ audio ตามจำนวนคน

  • ห้างสรรพสินค้าที่ใช้เซนเซอร์วิเคราะห์ flow ลูกค้าแล้วปรับ signage หรือโปรโมชั่นทันที


6. Polyfunctional Robots (หุ่นยนต์มัลติฟังก์ชัน)

เทรนด์ที่ 6 คือ Polyfunctional Robots – หุ่นยนต์ที่ไม่ได้ทำงานแบบเฉพาะทางเดียว แต่ทำงานแบบหลายหน้าที่ (multifunctional) และสามารถปรับตัวได้หลายรูปแบบ 
ทำไมถึงสำคัญ:

  • เมื่อค่าแรงสูงขึ้น และความต้องการ automation เพิ่ม หุ่นยนต์ที่ทำได้หลายงานจะมีค่าเพิ่ม

  • สามารถรวม robotics กับ AI, sensing, edge เพื่อให้ทำงานในสภาพแวดล้อมจริงได้
    สิ่งที่ควรเตรียมเอง:

  • สำรวจว่า process ใดในองค์กรสามารถใช้หุ่นยนต์ polyfunctional ได้ เช่น คลังสินค้า, โลจิสติกส์, บริการลูกค้า

  • ตรวจสอบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า, เครือข่าย, พื้นที่ robotics ในสถานที่

  • ประเมิน ROI และ change management เมื่อมีหุ่นยนต์เข้าไป
    โอกาส & ความท้าทาย:

  • โอกาส: ลดต้นทุนแรงงาน, เพิ่มความยืดหยุ่น

  • ความท้าทาย: ค่าใช้จ่ายเริ่มต้นสูง, ต้องการ maintenance, safety และ integration กับ ระบบเดิม
    ตัวอย่าง:

  • หุ่นยนต์ที่สามารถแพ็กสินค้าระบบเดียว แล้วเปลี่ยนไปช่วยงานบริการลูกค้าในอีกช่วงเวลา

  • หุ่นยนต์บริการในโรงแรมที่สามารถเช็คอินแขก แล้วไปส่งของใช้ที่ห้อง


7. Disinformation Security (ความปลอดภัยด้านข้อมูลเท็จ)

เทรนด์ที่ 7 คือ Disinformation Security – ความปลอดภัยไม่ใช่แค่การปกป้องข้อมูลที่ถูกต้อง เท่านั้น แต่ ต้องป้องกันข้อมูลเท็จ, การปลอมแปลง, การแอบอ้างบุคคล (social engineering) ในยุคที่ AI สามารถสร้างเนื้อหาได้ง่าย
ทำไมถึงสำคัญ:

  • เมื่อ AI สามารถสร้างภาพเสียงวิดีโอปลอมได้ (deepfake) หรือเผยแพร่ misinformation ได้ง่าย ความน่าเชื่อถือขององค์กรจะตกอยู่ในความเสี่ยง

  • การ reputation ของแบรนด์ และ trust จากลูกค้าจะเป็น asset สำคัญ
    สิ่งที่ควรเตรียมเอง:

  • วาง framework สำหรับตรวจจับ disinformation ที่เกี่ยวข้องกับองค์กร

  • ใช้เครื่องมือ เทคโนโลยี เช่น AI สำหรับ deepfake detection, metadata analysis

  • ฝึกอบรมพนักงานให้เข้าใจ risks และ response plan
    โอกาส & ความท้าทาย:

  • โอกาส: เป็นผู้นำด้านความเชื่อมั่นในตลาด

  • ความท้าทาย: เทคนิคของผู้ไม่หวังดีพัฒนาเร็ว, ต้องอัพเดตเครื่องมือเรื่อย ๆ
    ตัวอย่าง:

  • บริษัทด้านสื่อที่ใช้ AI เพื่อตรวจสอบว่าข่าวหรือภาพถูกดัดแปลงหรือไม่

  • แบรนด์ที่มี protocol รับมือเมื่อมีการปลอมแปลงภาพ/เสียงของ CEO เผยแพร่ในโซเชียล มีเดีย


8. Energy-Efficient Computing (การประมวลผลที่ประหยัดพลังงาน)

เทรนด์ที่ 8 คือ Energy-Efficient Computing – ระบบคอมพิวเตอร์/เซิร์ฟเวอร์/คลาวด์ที่ออกแบบให้ใช้พลังงานน้อยลง ลด carbon footprint และเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวม
ทำไมถึงสำคัญ:

  • ภาค IT และดาต้าเซ็นเตอร์เป็นผู้ใช้พลังงานจำนวนมาก การลด energy ถือเป็นหนทางสู่ความยั่งยืน (sustainability)

  • กฎระเบียบด้าน environmental, social & governance (ESG) กำลังเข้มงวดมากขึ้น
    สิ่งที่ควรเตรียมเอง:

  • ตรวจสอบ data center / cloud provider ที่องค์กรใช้ว่า มี energy-efficient หรือไม่

  • พิจารณาใช้ hardware ใหม่ที่ใช้พลังงานต่ำ เช่น ARM, custom ASICs, หรือ liquid-cooling

  • ตั้ง metrics ด้าน energy และ carbon ในแผน IT ขององค์กร
    โอกาส & ความท้าทาย:

  • โอกาส: ลดค่าไฟ, สร้างภาพลักษณ์องค์กรที่ green

  • ความท้าทาย: ต้นทุน CapEx อาจสูงเริ่มต้น, ROI อาจไม่ได้เห็นเร็ว
    ตัวอย่าง:

  • ดาต้าเซ็นเตอร์ที่เปลี่ยนเป็นพลังงาน renewable และใช้ระบบ cooling แบบใหม่

  • องค์กรที่ปรับ server ให้ sleep หรือ scale down เมื่อโหลดต่ำ


9. Neurological Enhancement (การเสริมศักยภาพทางระบบประสาท)

เทรนด์ที่ 9 คือ Neurological Enhancement – การใช้ technologies ที่เชื่อมโยงกับระบบประสาทมนุษย์ (brain-computer interfaces, neurotech) เพื่อเพิ่มสมรรถภาพด้านความคิด, การเรียนรู้, หรือ การโต้ตอบกับเครื่องจักร 
ทำไมถึงสำคัญ:

  • เทคโนโลยี neurotech กำลังเริ่มเข้าถึงผู้ใช้มากขึ้น เช่น wearables ที่วัดสภาวะสมอง, bio-feedback, brain-machine interface

  • องค์กรอาจใช้เพื่อ enhance ประสิทธิภาพพนักงาน, ลด error, หรือสร้างประสบการณ์ ใหม่ให้ผู้ใช้
    สิ่งที่ควรเตรียมเอง:

  • สำรวจว่าองค์กรของคุณอยู่ในอุตสาหกรรมที่ neurotech อาจมีบทบาทได้ เช่น สุขภาพ, สวัสดิการพนักงาน, การศึกษา

  • ติดตามประเด็นด้าน ethics, privacy, bio-safety สำหรับการใช้ neurotech

  • ทดลองใช้ใน pilot ขนาดเล็กก่อน เช่น wearable วัดสภาวะสมองสำหรับ crew หรือ ผู้ปฏิบัติงานที่ต้องมี focus สูง
    โอกาส & ความท้าทาย:

  • โอกาส: สร้างความได้เปรียบด้าน talent, ความคิดสร้างสรรค์, well-being

  • ความท้าทาย: ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น, มีประเด็นด้าน privacy, ความปลอดภัยทางชีวภาพ, ต้นทุนสูง
    ตัวอย่าง:

  • บริษัทที่ให้พนักงาน wearable ช่วยบันทึกสภาวะสมองขณะทำงานที่ต้องอยู่ใน focus สูง เช่น control room

  • อุปกรณ์ BCI ที่ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมเครื่องจักรด้วยความคิด (ในงานวิจัย/อุตสาหกรรมเฉพาะ)


10. Hybrid Computing (การประมวลผลแบบผสม)

สุดท้ายคือ Hybrid Computing – การรวมกันของหลายแบบการประมวลผล เช่น คลาวด์/เอดจ์/คอมพิวเตอร์ควอนตัม/ฮาร์ดแวร์เฉพาะ (ASICs) เพื่อรองรับ workload ที่หลากหลาย 
ทำไมถึงสำคัญ:

  • องค์กรไม่สามารถพึ่งพาแค่ คลาวด์ หรือ data center แบบเดิมได้อย่างเดียว – workload บางอย่างต้องอยู่ใกล้ผู้ใช้, บางอย่างต้องประมวลผลหนักมาก, บางอย่างต้องรัน ใน edge

  • การผสมผสานทำให้มีความยืดหยุ่น สูงขึ้น และรองรับ innovation เร็วขึ้น
    สิ่งที่ควรเตรียมเอง:

  • วิเคราะห์ workload ขององค์กร: ว่าอะไรควรอยู่ cloud, edge, inside premises, หรือ hybrid

  • วางสถาปัตยกรรม ที่รองรับ multi-platform: เช่น cloud + edge + on-premises

  • เลือกผู้ให้บริการ cloud/edge ที่มี ecosystem รองรับ และเตรียมทีม IT ให้พร้อมบริหารแบบ hybrid
    โอกาส & ความท้าทาย:

  • โอกาส: ประสิทธิภาพสูง, ลด latency, ประหยัดพลังงาน

  • ความท้าทาย: การบริหาร complexity สูงขึ้น, ต้องจัดการเรื่อง security, governance, data สภาพแวดล้อมหลายแห่ง
    ตัวอย่าง:

  • บริษัทที่มี IoT อุปกรณ์ edge ที่เก็บข้อมูลและประมวลผลเบื้องต้น แล้วส่งผลลัพธ์ขึ้น cloud เพื่อวิเคราะห์รวม

  • ระบบที่ใช้ AI บน edge สำหรับ real-time decision แล้วส่งผลลัพธ์ไป cloud เพื่อ deep analytics

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *